วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ต้องปรับตัวในโรงเรียน

หลังจากโรงเรียนเปิดเทอมมาเป็นเวลาเกือบเดือน แม่มีความรู้สึกว่าน้องบัวมีพัฒนาการดีขึ้นในหลายด้าน น้องบัวสามารถสื่อสารเป็นประโยคยาวๆโต้ตอบกับผู้ใหญ่ได้ดี “เมื่อก่อนก็ดีแล้วนะจ๊ะ” ทุกวันที่คุณแม่ไปรับกลับจากโรงเรียน น้องบัวจะพูดถึงคุณครูประจำชั้นทั้ง 3 ท่าน และบอกว่าน้องบัวมีเพื่อนมากมาย แม่ดีใจจ้ะที่ลูกชอบไปโรงเรียน และเข้ากับเพื่อนๆได้ดี ไปโรงเรียนแค่เดือนเดียว น้องเริ่มมีเพื่อนสนิทตั้ง 4-5 คนแล้วนะ
และที่สำคัญน้องบัวทานข้าวได้เก่งขึ้นมากจ้ะ ทุกต้นเดือนคุณครูจะนำเมนูรายการอาหารกลางวันและอาหารว่างมาให้แม่ พร้อมแสดงประโยชน์ และคุณค่าในอาหารแต่ละมื้อ อืม น่าทานทั้งนั้นเลยจ้ะ มิน่า ลูกสาวแม่จึงทานข้าวได้มากขึ้น ดีใจที่สุด อย่างนี้น้องบัวต้องโตเร็วแน่ๆเลย
แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้แม่กลุ้มใจอยู่เรื่องนึง คือ วันหนึ่งเมื่อคุณแม่ไปรับลูกที่โรงเรียน ได้ยินคุณครูเรียกลูกว่าสาวเงียบของห้อง เท่านั้นแหล่ะ ความสงสัยของแม่เพิ่มเป็นทวีคูณ เพราะลูกสาวแม่ปกติ เป็นคนช่างพูด ช่างอ้อนรู้จักเจรจา แต่ไปโรงเรียนทำไมลูกเปลี่ยนไป ลองสอบถามคุณครูคนอื่นก็บอกว่าน้องบัวไม่ค่อยพูด บางครั้งทำอะไรไม่ได้ก็นั่งนิ่ง ไม่ยอมบอกคุณครู ใช่หรือนี่ เอ งานเข้า ... แม่มีปัญหาที่จะต้องแก้ไขแล้วล่ะจ้ะลูก... 
เริ่มต้นจาก..แม่สอบถามคุณครูแต่ละคนถึงพฤติกรรมของน้องบัว ลองคุยกับเพื่อนลูกที่ลูกเคยพูดถึง ศึกษาข้อมูลในเวปต่างๆ ถามเพื่อนๆที่ทำงานและแม่ๆ ใน fb ก็สรุปมาได้ว่า พฤติกรรมแบบนี้เป็นพฤติกรรมธรรมชาติของเด็กค่ะ เด็กกำลังเรียนรู้ที่จะปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่โรงเรียน บางครั้งอาจเกิดอาการเครียดบ้าง ก็เลยซึมๆ ประกอบกับนิสัยของน้อง เป็นเด็กที่ชอบสังเกตการกระทำของคนอื่นก่อน และที่สำคัญน้องบัวเป็นเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองได้ตั้งแต่เริ่มไปโรงเรียนค่ะ คุณครูก็เลยสนใจและเอาใจเด็กที่ร้องไห้งอแง เค้าก็เลยรู้สึกว่าคุณครูไม่สนใจเค้า น้องก็เลยไม่สนใจคุณครูเหมือนกัน แต่ก็ไหว้สวัสดีปกตินะคะ เพียงแต่เวลาถาม ก็แบบถามคำตอบคำ ไม่ช่างพูดช่างเจรจาเหมือนที่เคยเป็น และพ่อกับแม่จะชอบไปถามย้ำว่า “น้องบัววันนี้คุยกับคุณครูมั้ยลูก คุยเรื่องอะไรบ้างคะ” น้องบัวจะตอบว่า “ไม่คุยกับคุณครู” เหมือนเป็นการตอกย้ำพฤติกรรมของเด็กค่ะ
ดังนั้น แต่นี้ต่อไปคุณแม่จะไม่ถามย้ำลูกเรื่องการพูดคุยกับคุณครูอีก เดี๋ยวพอน้องปรับตัวได้คงจะดีขึ้นเองนะจ๊ะ

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้องบัวไปโรงเรียนวันแรก

วันแรกของน้องบัวที่โรงเรียนอนุบาล  โรงเรียนเปิดเทอมตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2555 แต่คุณครูแบ่งนักเรียนออกเป็น  3 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน เพื่อเตรียมความพร้อมของเด็กบริบาลในการเข้าเรียนใหม่ น้องบัวได้อยู่กลุ่มที่ 2 ค่ะ คุณครูให้ไปโรงเรียนวันแรกวันที่ 18 พ.ค. 2555 โดยให้คุณแม่เฝ้าก่อน 2 วัน หลังจากนั้นค่อยดูท่าทีของน้องว่าจะต้องเฝ้าต่อหรือปล่อยให้อยู่กับคุณครูได้
น้องบัวรู้สึกดีใจและดูกระตือรือร้นที่จะไปโรงเรียนมาก แน่ล่ะ เพราะทุกอย่างเป็นของใหม่สำหรับเค้าทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียน รองเท้า ถุงเท้า กระเป๋า และคุณแม่ก็เคยพาน้องบัวไปดูโรงเรียนมาก่อนหน้านี้ด้วยค่ะ ไปเล่นของเล่นที่สนามเด็กเล่น เวลาคุณแม่ขับรถพาน้องบัวผ่านไปที่ไหนที่มีกระดานลื่น น้องบัวจะบอกว่า “แม่ แม่ นี่โรงเรียนน้องบัวค่ะ”
แต่คนที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าน้องบัวเห็นจะไม่พ้นแม่แน่นอนค่ะ ทั้งตื่นเต้นและกังวลเดาไม่ถูกค่ะว่าน้องจะเป็นยังงัย ตั้งแต่ทราบวันที่แน่นอนว่าลูกจะต้องไปโรงเรียนวันไหน ก็เตรียมพร้อมทุกอย่าง อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆสำหรับเด็กอนุบาล มีครบหมด รอวันนั้นอย่างเดียว 18 พ.ค.55
 วันที่ 18 พ.ค.55
วันนี้น้องบัวตื่นนอนแต่เช้าตั้งแต่ 6.30 น. ลงมานอนกินนมเล่น พอให้หายงงสักแป๊บนึง คุณแม่บอกให้เตรียมตัวอาบน้ำไปโรงเรียนนะคะ คุณครูกับเพื่อนๆรออยู่ 10 นาทีต่อมาทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว ในขณะที่คุณพ่อป้อนข้าวให้น้องบัวพลางๆ คุณแม่ก็ผูกผมคุณลูกติดโบว์สีม่วงเข้ากับชุดนักเรียนเป๊ะ  ไปค่ะ พร้อมไปโรงเรียนรึยังคะน้องบัว
น้องบัวบอกว่าพร้อมค่ะ “สู้ สู้”
พอไปถึงโรงเรียน คุณครูให้เด็กๆเล่นของเล่นในสนามหญ้าหน้าห้องเรียนก่อน น้องบัวเข้าไปเล่นกระดานลื่นเป็นอันดับแรก ก็ของโปรดของนู๋นี่คะ ตอนแรกน้องก็ไม่ค่อยกล้าเล่นค่ะ เพราะเจอเพื่อนๆเยอะมาก บางคนก็ร้องไห้กระจองอแง มีคุณพ่อคุณแม่มาคอยเฝ้าอยู่ แล้วความที่น้องบัวไมค่อยต้องแบ่งของเล่นกับใคร พอโดนเพื่อนตัดคิวขึ้นกระดานลื่นก่อน ก็วิ่งมาฟ้องคุณแม่ “แม่ แม่ เค้าแย่งของลูก” คุณแม่บอกว่าของเล่นที่โรงเรียนเป็นของเด็กทุกคน ทุกคนเล่นได้ ลูกต้องแบ่งกันเล่นกับเพื่อนนะคะ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คุณแม่คิดที่จะให้น้องบัวเข้าโรงเรียนตั้งแต่ชั้นบริบาล เพราะอยากให้ลูกสามารถปรับตัวและเริ่มใช้ชีวิตในสังคมเล็กๆได้ ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวังทุกอย่างนะคะ เราต้องรู้จักปรับตัว ยอมรับ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันนะคะ แล้วน้องบัวจะรู้ว่าโลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ พอเวลาเกือบๆแปดโมงเช้า คุณครูก็จะพานักเรียนเข้าแถวเคารพธงชาติ น้องบัวยืนตรงตั้งใจร้องเพลงชาติไทยมาก เนื่องจากหัดร้องมาแล้วจากบ้าน เสร็จแล้วก็พนมมือไหว้พระสวดมนต์อย่างสวยงามตามแบบที่คณปู่คุณย่าสอนตอนอยู่ที่บ้านคุณย่า จากนั้นคุณครูก็นำนักเรียนต่อขบวนรถไฟเข้าห้องเรียน
คุณครูประจำชั้นบริบาลห้องที่ 2 มีทั้งหมด 3 คนค่ะ คือ คุณครูยะ  คุณครูน๊อต และคุณครูตุ๋ม ช่วงแรกคุณครูก็ให้เด็กเล่นของเล่นตามมุมต่างๆ เช่น มุมดนตรี จะมีเครื่องเคาะจังหวะต่างๆ ระนาดไม้ กลอง มุมตัวต่อ มุมระบายสี มุมของเล่นบทบาทสมมติ มุมนิทาน ฯลฯ แล้วแต่เด็กจะเลือกเล่น  น้องบัวเลือกเล่นบล็อกไม้ที่เป็นขดลวดสีสันสดใสก่อนเพื่อน  แล้วก็ตั้งใจเล่นอย่างมีสมาธิ (คุณแม่เดาเอาค่ะ) เห็นเล่นแบบเงียบๆ แต่สิ่งแวดล้อมในห้องสิคะ ชวนให้ร้องได้ตามเหลือเกิน เพราะเพื่อนๆเริ่มส่งเสียงร้องกันใหญ่ เด็กบางคนร้องตั้งแต่ก่อนเคารพธงชาติ จนถึงเวลาจะกลับบ้านเลยนะคะ เห็นแล้วเหนื่อยแทนจริงๆเลยลูก
พอประมาณสิบโมงเช้า คุณครูจะให้ดื่มนมเป็นอาหารว่างตอนเช้า โดยเด็กๆจะเข้าแถวไปล้างมือในห้องน้ำ ดื่มน้ำแล้วก็ดื่มนม จากนั้นคุณครูจะเปิดเพลงให้เด็กๆเต้นตาม เช่น เพลงเต่า พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง เมฆ ฯลฯ จากนั้นก็ให้ระบายสี วาดรูป ปั้นดินน้ำมัน จนคุณแม่มีความรุ้สึกว่ากิจกรรมของลูกในแต่ละวันนี่เยอะแยะมากมายจริงๆ
ประมาณสิบเอ็ดโมงถึงเวลาทานข้าวเที่ยงค่ะ เด็กๆจะเข้าแถวไปล้างมือ แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะ รอรับประทานอาหาร คุณครูก็จะมาใส่เสื้อคลุมกันเปื้อนให้เด็กๆ  อาหารมื้อแรกของน้องบัวที่โรงเรียนเป็นข้าวสวย ไข่พะโล้ ผัดวุ้นเส้น ผลไม้เป็นของโปรดน้องบัวค่ะ คือกล้วยไข่ น้องบัวเลือกทานแต่ไข่ กับกล้วยค่ะ แต่ก็ทานได้เยอะในระดับของน้อง ทานอาหารได้เองค่ะ ทานไปก็มองเพื่อนๆไป เด็กๆถ้าเค้ามีเพื่อนๆทานข้าวด้วยกันก็จะชวนกันทานได้เยอะค่ะ
ภารกิจวันแรกเสร็จเพียงเท่านี้ค่ะ คุณครูให้คุณแม่รับกลับเวลา 11.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมเด็กน้อยแบบค่อยเป็นค่อยไปค่า สรุปว่าน้องบัวไม่ร้องไห้สำหรับการไปโรงเรียนวันแรก แถมยังให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆกับคุณครูเป็นอย่างดีค่ะ เก่งมากค่ะลูกสาวแม่….
วันที่ 23 พ.ค.55  วันนี้เป็นวันแรกที่คุณครูบอกให้ไม่ต้องเฝ้า แล้วไปรับกลับ 11.30 น. คุณแม่บอกลูกตั้งแต่เช้าก่อนไปส่งโรงเรียนว่าวันนี้ลูกอยู่กับคุณครูกับเพื่อนๆนะคะ คุณแม่ต้องไปทำงาน แล้วจะมารับลูกตอนลูกทานข้าวเสร็จนะคะ น้องบัวบอกว่า ค่ะ โล่งอกไปหน่อย แต่จริงๆแล้วคุณแม่ก็ยังแอบเฝ้าน้องบัวอยู่ห่างๆค่ะ เพียงแต่เค้าไม่เห็นเราเท่านั้นเอง อยากลองดูให้แน่ใจว่าเค้าอยู่ได้ไม่ร้องงอแง แต่มีแวบกลับบ้านไปแป๊บนึงค่ะ พอมารับกลับถามคุณครูว่าน้องบัวเป็นยังงัยบ้าง คุณครูบอกว่าไม่ร้องไห้เลยค่ะ เวลาอยากได้อะไรน้องก็จะบอกคุณครู เช่น ปวดท้องฉี่  หิวน้ำ  พูดถึงคุณครูประจำชั้นของน้องบัว ต้องยอมรับค่ะว่ามีความอดทนสูง และรักเด็กมาก ไม่อย่างนั้นจะมาเป็นคุณครูชั้นบริบาลไม่ได้แน่ๆ เพราะเด็กแต่ละคนก็คนละสไตล์ เดี๋ยวคนนู้นร้อง เดี๋ยวคนนี้ก็ร้องตาม เด็กเล็กๆนี่ดูแลยากนะคะ บางครั้งยังไม่สามารถบอกความต้องการของตนเองให้คนอื่นรู้ได้หมดน่ะค่ะ ขอชื่นชมคุณครูทั้งสามคนของน้องบัวมากๆค่า
สำหรับวันนี้ โอเค ถือว่าผ่านนะคะ ต่อไปคุณแม่ก็ไปทำงานได้อย่างสบายใจว่าน้องบัวอยู่โรงเรียนได้อย่างมีความสุขจ้า

วันแรกในชีวิตของนู๋ (2)

แม่เริ่มเล่าต่อเลยนะคะ
ลูกรู้มั้ยคะว่า การผ่าตัดทางช่องท้อง มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณโดยภรรยาของจูเลียสซีซาร์ ปวดท้องจะคลอดน้องอยู่ 3 วัน 3 คืน แต่คลอดเองไม่ได้ จึงมีการผ่าตัดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น (ไม่ได้ระบุนะคะว่าภรรยาของซีซาร์ คือ พระนางคลีโอพัตราหรือไม่
          บรรยากาศในห้องรอคลอด มีทั้งคณหมอ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล แล้วก็นักศึกษาแพทย์ พยาบาลเต็มไปหมด มาคอยถามอาการ วัดชีพจร จับท้องแม่ วัดการเต้นของหัวใจลูก แม่ก็คอยตอบคำถามเพลินๆ แต่ยังไม่ถึงกับปวดท้องมากเท่าไหร่
          เวลาประมาณ 10.30 น. พยาบาลมาตรวจภายใน บอกกับแม่ว่าปากมดลูกเปิดประมาณ 4 ซม.แล้ว อดทนหน่อยนะคะ ช่วงนี้แม่เริ่มปวดถี่ขึ้น ช่วงที่ปวดจะทรมานมากๆ ไม่รู้จะอยู่ยังงัยดีล่ะลูกเอ๋ย แต่ที่แย่ คือ มีอาการปวดหลังมากๆด้วย แม่ขอให้น้องพยาบาลช่วยไปตามคุณพ่อเข้ามาในห้อง เพื่อแม่จะได้บอกอาการพ่อ และขอกำลังใจจากพ่อด้วย
          น้องพยาบาล (เป็นพยาบาลฝึกหัดในห้องเตรียมคลอด น่ารักมาก ทั้งคอยพูดคุยให้กำลังใจ แล้วก็แนะนำเทคนิคต่างๆในช่วงคลอด แถมยังคอยนวดหลังให้และช่วยเหลือแม่ทุกอย่าง ทำให้แม่ประทับใจมากเลย แม่ยังเสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อเค้า เผื่อพบกันคราวหน้าแม่จะได้ฝากขนมไปให้เค้าบ้าง ก็ได้น้องพยาบาลนี่แหล่ะช่วยไปตามคุณพ่อมาให้ด้วยจ้ะ  คุณพ่อเข้ามาพูดคุยปลอบ และให้กำลังใจแม่ แล้วก็คอยนวดหลังให้แม่ เพราะแม่ปวดหลังมากๆจริงๆจ้ะ สาเหตุเกิดจากศีรษะลูกเลื่อนลงไปบริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้ทับกระดูกสันหลัง จึงเกิดอาการปวดหลังขึ้นมา
          ประมาณ 11.00 น. แม่เริ่มเจ็บจนทนไม่ได้ จึงบอกพยาบาล พยาบาลบอกให้คุณพ่อออกไปข้างนอกก่อน พยาบาลมาตรวจภายในแล้วบอกว่าใกล้แล้ว ให้อดทนแล้วก็ฝึกการหายใจ แม่ท่องในใจว่า อดทน  อดทน  (เพื่อลูกนะจ๊ะ)
           ประมาณเที่ยงกว่าๆ แม่ทนไม่ไหวแล้วลูก บอกพยาบาลว่าปวดจนอยากจะเบ่ง พยาบาลมาตรวจพบว่าปากมดลูกเปิดได้ 9 ซม.แล้ว เตรียมคลอดได้ แล้วสอนการเบ่ง การใช้แขนและขาในการเบ่ง การออกแรงเบ่ง และการฝึกหายใจ แล้วพยาบาลก็โทรเรียกคุณหมอเรืองศักดิ์ แจ้งว่าแม่กำลังจะคลอดน้องแล้ว อยู่ดีๆแม่ก็ได้ยินเสียงแตกพังโพละ ถุงน้ำคร่ำแตกแล้วลูก แม่ถูกเข็นเข้าไปในห้องคลอด ตื่นเต้นๆ
แล้วคุณหมอเรืองศักดิ์ก็มา ขณะนั้นแม่ก็พยายามเบ่ง เพราะรู้สึกปวดท้องอยากเบ่ง เบ่งครั้งแรก คุณหมอกับพยาบาลก็ช่วยลุ้นและให้กำลังใจกันใหญ่ ครั้งแรกก็เห็นหัวลูกแล้ว เห็นผมลูกก่อนเลย เบ่งอีก 2 ครั้ง นู๋ก็ออกมาลืมตาดูโลกภายนอกแล้วจ้า ต่อจากนั้นคุณหมอบอกให้แม่หยุดเบ่ง เพราะกลัวปากมดลูกจะฉีกขาด แต่แม่หยุดไม่ได้น่ะค่ะ เพราะมันจะมีลมเบ่งจากภายในด้วย แล้วพยาบาลก็เอาลูกไปล้างทำความสะอาด คุณหมอตัดสายสะดือก่อน แล้วก็ทำคลอดรกให้แม่ ก่อนที่จะเย็บปิดแผลปากมดลูก
          และแล้วพยาบาลก็นำลูกมาให้แม่ดู แม่ดีใจมากที่สุดจ้ะที่ได้เห็นหน้าลูก และรู้ว่าลูกปกติดีทุกอย่าง ลูกหน้าตาน่าเอ็นดู แม่สังเกตว่าลูกหน้าคล้ายพ่อกับแม่เหมือนกันน๊า เสร็จแล้วเค้าก็เขียนชื่อติดที่ข้อเท้าลูก (ด.ญ..........  เสนารักษ์)  บุตร นางอศิรวรรณ เสนารักษ์  ก่อนจะพาลูกไปที่ห้องอนุบาลเด็กอ่อน เพื่อรอดูอาการหลังคลอดว่าปกติดีมั้ย มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองหรือเปล่า หายใจเองได้มั้ย แล้วพยาบาลก็บอกกับแม่ว่าประมาณ 4-5 ชม.จะนำลูกมาส่งให้คุณแม่นะคะ น้องบัวหนัก 3,150 กรัม น้ำหนักแรกเกิดถือว่าใช้ได้เลยจ้ะ นี่ถ้าน้ำหนักน้อยกว่านี้ สงสัยคุณแม่ต้องโดนแซวแน่ๆ เพราะบำรุงได้แต่แม่ ไม่ได้ลูกเล๊ย
          แม่ถูกนำไปที่ห้องพักฟื้นหลังคลอด น้องพยาบาลนำน้องไปให้คุณพ่อดู แล้วคุณพ่อก็รีบเข้ามาหาแม่ที่ห้องพักฟื้น ขณะที่แม่อยู่ในห้องพักฟื้น พยาบาลนำอาหารมาให้ เชื่อมั้ยลูกว่าแม่สามารถทานได้ทันที นี่คือข้อดีของการคลอดแบบธรรมชาติ คือหลังจากคลอดเสร็จแล้ว คุณแม่จะสามารถอุ้มลูกหรือทำอะไรได้ทันที แต่พยาบาลก็ไม่ให้แม่ลุกจากเตียงนะจ๊ะ ให้นอนพักฟื้นอยู่บนเตียง 12 ชม. คือกลัวมดลูกจะไม่เข้าที่ แล้วก็สอนการนวดท้องให้แม่ โดยให้กดท้องเป็นวงกลม อย่าให้ท้องนิ่ม ต้องให้แข็งๆเข้าไว้ กันว่าอาจจะมีการตกเลือดได้
          ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงฤดูแห่งความยินดีจริงๆ คุณพ่อโทรศัพท์บอกคนนู๊นคนนี้ตลอด ว่าลูกคลอดแล้ว และมีญาติๆและเพื่อนๆโทรถามข่าวคราวตลอด คุณตากับคุณยายไปทานข้าวกลางวันกลับมาก็เจอหลานสาวคนสวยแล้ว (ลืมไป  ยังไม่ได้เจอหรอกลูก แต่ทราบข่าว ลูกยังอยู่ในห้องอภิบาลเด็กอ่อนอยู่เลย)  คุณตาเล่าว่า ตอนลงไปกินข้าว เห็นคุณหมอเรืองศักดิ์วิ่งขึ้นมาด้วย แม่คิดว่า คุณหมอรีบวิ่งมาเพราะลูกกำลังจะออกมาจากท้องแม่ยังงัยล่ะจ้ะ
          และแล้วแม่ก็ถูกเข็นมาที่ตึกสูติกรรมชั้น 5 เตียง 27 เพื่อพักฟื้น ตอนนั้นยังหาห้องพิเศษไม่ได้เลย พ่อเค้าก็พยายามไปจองห้อง แต่ศูนย์จองห้องพิเศษเค้าบอกว่าช่วงนี้มีเด็กเกิดเยอะ ต้องรอห้อง คุณตาเลยโทรไปให้คุณยายนิดช่วยติดต่อจองห้องให้ ปรากฏว่า คุณยายนิดให้เอาห้องสูทวีไอพีไปเลย เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวคุณยายออกให้เอง  ต้องขอขอบคุณ คุณยายนิดมากๆค่ะ เพื่อลูก ทำให้พ่อ แม่ ลูก ที่กำลังเป็นครอบครัวใหม่ได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความรู้สึกพิเศษในฐานะครอบครัวใหม่ และอบอุ่นไปด้วยบรรดาญาติทั้งคุณตาคุณยาย คุณยายนิด พี่พิม คุณปู่ คุณย่า ลุงบ่าว ป้าเหมียว พี่เปียโน พี่กีตาร์
           ประมาณ 19.30 น. แม่ก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ห้องพิเศษ เฉลิมพระบารมี 12 (ห้อง 1265) คืนนี้คุณปู่มานอนเป็นเพื่อนด้วย คืนแรกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สับสนในชีวิตของพ่อกับแม่มาก ขณะว่าแม่เตรียมตัวมาแล้วนะจ๊ะ อ่านหนังสือก็เยอะ แต่พอเจอของจริง แม่กลับทำอะไรไม่ถูกเลย พยาบาลที่นี่น่ารักมากๆมาช่วยดูแลลูกกันใหญ่ ให้คำแนะนำทั้งการให้นม การดูแลตัวเองทั้งแม่ทั้งลูก  คุณพ่อเป็นคนดูแลลูกส่วนใหญ่ในคืนแรก เนื่องจากแม่ยังทำอะไรได้ไม่ถนัดหลังคลอด ตอนกลางคืน น้ำนมแม่ยังไม่ไหลเลย พยาบาลชงนมมาให้ลูกแบบใส่แก้วมาให้ เค้าให้ลูกกินแบบจากแก้ว เพราะเด็กบางคนจะดูดนมจากขวดยังไม่เป็น นู๋กินเก่งตั้งแต่เด็กๆเลยน๊า ดื่มใหญ่เลย.........
            ลูกรู้มั้ยจ๊ะว่าลูกทำให้ทุกคนมีความสุขมากๆ พ่อกับแม่และทุกคนตั้งใจดูแลลูกให้ดีที่สุด ให้นู๋เกิดมาเติบโตแข็งแรงสมบูรณ์ เป็นเด็กดีของสังคมต่อไปนะจ๊ะ